https://www.facebook.com/share/p/1DRVqDue29/
เพื่ออธิบายให้ชัดว่า การเปิดระบบเงินทุนใหม่ จะช่วยให้ UBI (Universal Basic Income = รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า) เกิดเร็วขึ้นหรือไม่
1️⃣ ระบบเงินทุนใหม่คืออะไร (New Financial System)
หมายถึงการเปลี่ยนผ่านจาก ระบบการเงินเดิม ที่พึ่งพา USD, ทองคำ, ตลาดทุน ไปสู่ โครงสร้างใหม่ เช่น
Digital Asset (สินทรัพย์ดิจิทัล) เช่น XRP, Stablecoin
CBDC (Central Bank Digital Currency = เงินดิจิทัลธนาคารกลาง)
Clearing House (ศูนย์ชำระเงิน) ระดับภูมิภาคหรือโลก
จุดเด่นของระบบใหม่นี้ คือ Settlement (การชำระเงิน) เร็วขึ้น, Transparency (ความโปร่งใส) สูงขึ้น และ Cost (ต้นทุน) ต่ำลง
---
2️⃣ ความเชื่อมโยงกับ UBI
ปัญหาของ UBI เดิม: ประเทศมักติดที่
1. งบประมาณรัฐจำกัด
2. กลไกจ่ายเงินไม่ทั่วถึง
3. เสี่ยงต่อการรั่วไหลและคอร์รัปชัน
ถ้ามีระบบการเงินใหม่ → จะช่วยดังนี้:
1. แหล่งทุนใหม่ (Funding Source)
การใช้สินทรัพย์ทุนสำรองใหม่ เช่น XRP หรือ Stablecoin ที่ค้ำด้วยทุนจริง
ลดการพึ่งพาหนี้สาธารณะ
2. ช่องทางโอนตรง (Direct Transfer)
ใช้ CBDC + Digital ID → โอนเงินตรงถึงประชาชนทุกคนทันที
ลดรั่วไหล ไม่ต้องผ่านคนกลาง
3. Programmable Money (เงินตั้งเงื่อนไขได้)
จำกัดเวลาใช้ / จำกัดประเภทสินค้า
ทำให้เงิน UBI กระตุ้นเศรษฐกิจจริง ไม่ถูกเก็บออมเฉย ๆ
4. Audit & Transparency (ตรวจสอบได้โปร่งใส)
ทุกธุรกรรมมีร่องรอยบนบล็อกเชน → ลดคอร์รัปชัน
---
3️⃣ ผลลัพธ์ถ้าไทยเปิดระบบได้สำเร็จ
ไทยสามารถ ทดลอง UBI ได้ไวขึ้น เพราะมี “ราง” (Infrastructure) ที่พร้อมกว่าเดิม
การโอนเงินตรง เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” หรือ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จะเปลี่ยนจากระบบกึ่งดิจิทัล → เข้าสู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ (CBDC + Digital ID)
การเข้าถึงประชาชน 100% ครอบคลุม แม้ในพื้นที่ห่างไกล
---
4️⃣ ข้อจำกัดที่ยังต้องพิจารณา
ภาระหนี้สาธารณะ ไทยยังสูง → ต้องหาวิธีระดมทุนเพิ่ม
Political Will (เจตจำนงทางการเมือง) → ต้องมีฉันทามติทางการเมือง เพราะ UBI คือการปรับโครงสร้างสวัสดิการครั้งใหญ่
Social Readiness (ความพร้อมสังคม) → ต้องสร้างความเข้าใจว่า UBI ไม่ใช่ “เงินแจกฟรี” แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
---
✅ สรุป
ถ้า ประเทศไทยเปิดระบบเงินทุนใหม่สำเร็จ (มี Digital ID, CBDC, Clearing House เชื่อมโลก) จะทำให้ การเปิด UBI เร็วขึ้นแน่นอน เพราะ
มีแหล่งเงินทุนใหม่
มีโครงสร้างการโอนตรง
ลดการรั่วไหล
คุมเสถียรภาพได้
แต่การจะ “ใช้จริง” ยังขึ้นกับ นโยบายรัฐบาล–การเมือง–การยอมรับสังคม ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญควบคู่ไปด้วยครับ
อัพเดทสถานการณ์ – 27 กันยายน 2568 เวลา 13:49 น. (Asia/Bangkok)
สรุปความคืบหน้าส่วนที่ “ก้าวหน้า” ของรางการเงิน 3 เลเยอร์ (Reserve–State–People) ที่เกี่ยวกับ UBI พร้อมคำศัพท์อังกฤษมีคำแปลกำกับท้ายคำ
1) เลเยอร์ของรัฐ/สถาบัน (State Layer): ฝั่ง stablecoin และรางโอนเงินของรัฐ
RLUSD (Ripple USD = สเตเบิลคอยน์ดอลลาร์ของ Ripple): Ripple ระบุว่า RLUSD ออกบน XRPL (XRP Ledger = บล็อกเชนของ XRP) และ Ethereum สำรองค้ำเป็นเงินสด/เทียบเท่าเงินสด แลกคืน 1:1 (redeemable) โดยขึ้นกับกฎหมายแต่ละประเทศ (jurisdiction)
ขยายตัวเชิงสถาบัน: RLUSD มีรายงานมูลค่าตลาดแตะระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์ในปี 2025 และกำลังขยายช่องทางกระจายในเอเชีย เช่น แผนทำงานกับ SBI ในญี่ปุ่น (distribution) ภายในกรอบกำกับของญี่ปุ่น
ท่าทีด้านโครงสร้างสถาบัน: มีรายงานว่า Ripple ยื่นขอ National Bank Charter (สถานะธนาคารระดับชาติในสหรัฐ) เพื่อยกระดับโครงสร้างกำกับ/การเข้าถึงระบบชำระเงินของสหรัฐ ซึ่งหากสำเร็จจะเอื้อต่อการถือสำรอง RLUSD และการเชื่อมระบบชำระเงินสหรัฐโดยตรง
ความหมายเชิงปฏิบัติ: ถ้าเสถียร (stable) และโปร่งใส (attestation = การยืนยันสำรอง) ต่อเนื่อง RLUSD สามารถทำหน้าที่ “รางสภาพคล่อง” ให้รัฐ/สถาบันในการโอนเงินขนาดใหญ่และข้ามพรมแดน (cross-border = ข้ามประเทศ) ได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจของเลเยอร์ State
2) เลเยอร์เชื่อมต่อข้ามพรมแดน (Interoperability & CBDC rails)
Project mBridge (แพลตฟอร์ม wCBDC แบบพหุชาติ): BIS ระบุว่าโครงการเข้าสู่ระดับ MVP (Minimum Viable Product = ต้นแบบใช้งานขั้นต่ำ) ตั้งแต่กลางปี 2024 เพื่อชำระเงินข้ามแดนระหว่างธนาคารกลาง/ธนาคารพาณิชย์แบบเรียลไทม์ บน DLT (Distributed Ledger Technology = เทคโนโลยีบัญชีแบบกระจายศูนย์)
แหล่งข่าวภายนอกระบุปี 2025 ว่ามีการทดลอง/ทรานแซกชันจริงโดยธนาคารพาณิชย์และผู้เล่นรายใหญ่ในจีน–ฮ่องกง–ยูเออี–ไทย แม้ BIS จะลดบทบาทตรงในปลายปี 2024 แต่โครงการยังเดินหน้าภายใต้ธนาคารกลางเจ้าของโหนด (validator nodes)
SWIFT CBDC Interlink (ทางเชื่อม CBDC ผ่านสวิฟต์): SWIFT รายงานความคืบหน้าโซลูชันเชื่อม CBDC/สินทรัพย์โทเคนกับระบบเดิม เพื่อกันตลาด “กระจัดกระจาย” (fragmentation) ของเทคโนโลยีที่หลากหลาย
ความหมายเชิงปฏิบัติ: รางข้ามพรมแดนเริ่ม “ต่อท่อกันได้จริง” ระหว่าง CBDC (Central Bank Digital Currency = เงินดิจิทัลธนาคารกลาง)/stablecoin กับระบบเดิม ช่วยให้เลเยอร์ State โอนสู่เลเยอร์ People ได้เร็ว/ต้นทุนต่ำขึ้นเมื่อประเทศเปิดใช้
3) เลเยอร์ประชาชน (People Layer): CBDC, Digital ID และวอลเล็ต
ธปท./ประเทศไทย–CBDC & นวัตกรรมดิจิทัลไฟแนนซ์: ธนาคารแห่งประเทศไทยเผยกรอบการพัฒนา Retail CBDC (ซีบีดีซีภาคประชาชน) เพื่อให้ธุรกิจ/ประชาชนเข้าถึงนวัตกรรมการชำระเงินมากขึ้น (สถานะยังเชิงทดสอบ/ศึกษา ไม่ใช่เปิดใช้ทั่วประเทศ)
Digital ID / NDID (บัตรดิจิทัลยืนยันตัวตนของไทย): รายงานปี 2025 ระบุไทยเร่งขยาย SSI (Self-Sovereign Identity = อัตลักษณ์ดิจิทัลแบบเจ้าของข้อมูลคุมสิทธิ) และเตรียมนำ ZKP (Zero-Knowledge Proof = พิสูจน์ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยรายละเอียด) มาใช้ในสินเชื่อ/สินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นฐานสำคัญของการโอนเงินตรง (direct transfer = โอนตรง) และ KYC/AML (รู้จักลูกค้า/ต่อต้านฟอกเงิน)
มุมมองภาพรวมโลก: งานสำรวจปี 2025 ชี้ว่าธนาคารกลางจำนวนมากเร่งโครงการ CBDC pilot (ทดสอบซีบีดีซี) โดยให้เหตุผลเรื่องการรวมกลุ่มทางการเงิน (financial inclusion), offline payment (จ่ายได้แม้ออฟไลน์) และบทบาทอธิปไตยทางการเงิน (monetary sovereignty) ในอีก 3–5 ปี
ความหมายเชิงปฏิบัติ: ถ้า Digital ID + CBDC พร้อม รัฐบาลสามารถ “โอนตรง” UBI เข้ากระเป๋าประชาชน (gov wallet = กระเป๋าภาครัฐ) ตั้ง เงื่อนไขการใช้จ่าย (programmable money) และตรวจสอบได้ (traceable) โดยยังต้องคุมสมดุล privacy (ความเป็นส่วนตัว)
4) แล้วสิ่งที่ “ก้าวหน้า” กระทบ UBI อย่างไร (to-do สำหรับไทย)
สิ่งที่เดินหน้าแล้ว
1. รางสถาบัน: RLUSD และโครงสร้างสถาบันของ Rippleเริ่มเชื่อมตลาดทุน–สถาบันมากขึ้น (เช่น แผนสถานะธนาคาร/ดีลโบรกเกอร์) ทำให้ภาพ “สภาพคล่องดิจิทัลของรัฐ” ชัดขึ้น (State liquidity rail)
2. รางข้ามแดน: mBridge และ SWIFT-CBDC ทำให้ “เงินดิจิทัลของรัฐ” เริ่มวิ่งข้ามพรมแดนได้จริงในสเกลองค์กร (production-like pilots = ทดสอบเสมือนจริง)
3. รางประชาชน: ไทยเร่ง Digital ID/SSI และศึกษาระบบ CBDC ภาคประชาชน ซึ่งเป็นฐานจำเป็นของ UBI โอนตรง
ช่องว่างที่ยังต้องทำ
กรอบกฎหมาย/การคลัง UBI: ต้องนิยาม “สิทธิ–งบประมาณ–กติกาปรับอัตโนมัติ” เช่น ผูกกับ CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค)/Output gap (ช่องว่างผลผลิต) เพื่อป้องกันเงินเฟ้อ/ฝืด
Privacy-by-design (ออกแบบคุ้มครองข้อมูลตั้งแต่ต้นทาง): ใช้ ZKP และ role-based access (กำหนดสิทธิ์เข้าถึงตามบทบาท) เพื่อไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
Interoperability (ทำงานร่วมกันได้): กำหนดมาตรฐานข้อความ ISO-20022/API สำหรับเชื่อมธนาคารเดิม–ฟินเทค–กระเป๋า CBDC
Q17 Service ❤️💕
Q17 Service ❤️💕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น