วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2567

🥰 การหลอกลวงเรื่องโคเลสเตอรอล เพื่อล้วงกระเป๋าระดับโลก

 See >>>

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0Lw6LQkkxYFfA9qsCucYtoboGi4LDqvpeJeeU1arFtWvgFPSCpTbSPRd2bwuyjCtql&id=100086272460681&post_id=100086272460681_pfbid0Lw6LQkkxYFfA9qsCucYtoboGi4LDqvpeJeeU1arFtWvgFPSCpTbSPRd2bwuyjCtql&mibextid=Nif5oz



การหลอกลวงเรื่องโคเลสเตอรอล เพื่อล้วงกระเป๋าระดับโลก

โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล


ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องคนเราถูกหลอกให้ลดคอเลสเตอรอลโดยไม่จำเป็นมาแล้ว 

ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เที่ยวนี้ขอกลับมาเล่าใหม่ ดังนี้ครับ :

คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ" คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

กลับกลายเป็น "โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?


ความ กลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน

แต่ความกลัวก็เป็นสิ่งที่บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนขายยายังไงเล่า


การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

โคเลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา 

เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ สร้างฮอร์โมนเพศ 

สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด

ต่อมามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า 

ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อโรคหัวใจหลอดเลือด

แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า โคเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้

และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ

นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยา

ซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ  ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า

"บริษัทยา ถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วยเท่านั้น 

แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง 

คือผลิตยาขายให้กับคนสุขภาพดี ให้บริษัทสามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"


แปล ฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ 

นายแกดสเดนคิดว่า ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดโคเลสเตอรอลให้กับผู้ป่วยจริงๆ 

คือพวกโรคหัวใจ เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย

แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น

คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้ โต๊ะ" 

กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐซึ่งมีหน้าที่กำหนด

ค่ามาตรฐานของโคอเลสเตอรอลในเลือด 

ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจากเดิมที่ 250 ม.ก./ด.ล. 

มาเป็น 200 ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001

ผล ก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป 

ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก 

ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว 

ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว


ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน

ในปี ค.ศ.1990 จึงเพิ่มกลุ่มประชากรที่ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน 

ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดยคณะผู้เชี่ยวชาญ 

(ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว


ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน 

ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงินกับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9 ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย

 เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยายักษ์ใหญ่ 

มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน


ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ 

จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่

ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค" 

พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ


คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะนักบริโภคยาลดไขมัน


คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคโคเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน 250 ม.ก./ด.ล.

แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า 

"มีงานวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอลที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล. 

เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250 ม.ก./ด.ล. 

ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดโคเลสเตอรอลให้คุณละนะ

ไหนๆ คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว" ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างน่าชื่น


แต่ คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย 

ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ ในการกินอาหารจนโคเลสเตอรอลสูง 

ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป 

แล้วโคเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้


ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน

แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ไขมันที่คุณกินเข้าไปอย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด


คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ

ให้ตับเก็บรับโคเลสเตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง


ผล ก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด

แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการกลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล 

เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง


พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ

จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี 

ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย 

จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว


แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนโคเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว 

หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา แต่บอกผู้ป่วยว่า "คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"

เรื่อง ของโคเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย 

และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อของการแพทย์พาณิชย์ 

นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้

เขียนโดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล


คำเตือนในการทานยากลุ่ม Statin

FDA Adds Diabetes Warning to Statin Label

http://www.medpagetoday.com/Cardiology/Dyslipidemia/31408

----------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น