See >>>
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02z14yZkvVEkjoqnD2fxx1e2AAK6unSzQuXKbLJVRybsKDDqVTzhvf7dyxQxFbRaPMl&id=100075867212307
หน้ากากอนามัย หรือแมสที่ปิดจมูก 😷
หน้ากากอนามัยเมื่อใส่เป็นเวลานาน จะทำให้เลือดและสมอง ขาดออกซิเจน
เลือดเป็นกรด ร่างกายจึงติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย เป็นสาเหตุทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ตกค้างในกระแสเลือด
ผลของการใช้หน้ากากอนามัยนั้น ไม่ได้ป้องกันเชื้อโรคใด ๆ เลย
แต่กลับไปปิดกั้นให้เราหายใจไม่สะดวก และไม่ให้เราหายใจเอาออกซิเจนที่บริสุทธิ์เข้าร่างกาย ทำให้ทุกคนที่สวมใส่หายใจเอาแต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราหายใจออกดึงกลับเข้าร่างกายมากขึ้นเพราะถูกหน้ากากครอบปิดปากและจมูกเราไว้
พอใส่หน้ากากไปนาน ๆ จะส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองและร่างกายได้น้อยลง
ทำให้ค่าเกล็ดเลือดต่ำ เลือดจึงมีสภาวะเป็นกรดสูงขึ้น ภูมิต้านทานในร่างกายเราจะลดลง สมองจะมึนงงสับสน เกิดความเฉื่อยชา ปวดหัวหน้ามืด
สุดท้ายผู้ที่สวมใส่จะเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
หน้ากากอนามัยที่ใส่กันมากว่า 3 ปี ก็ยังไม่สามารถหยุดการติดเชื้อโควิดได้ และการใส่หน้ากากอนามัยต่อไปอีกเป็นเวลานานนั้น อาจก่อให้เกิดผลเสียกับร่างกายและจิตใจในระยะยาวได้
เราควรเปิดใจยอมรับว่า โรคนี้ยังอยู่กับเราอีกนาน
และแม้จะติดแต่ก็อาการไม่รุนแรง มีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่เท่านั้น บางคนติดก็ไม่ออกอาการก็มีมากมาย
แต่ข่าวกลับโฆษณากระพือข่าวให้ดูรุนแรงเพื่อเพิ่มความหวาดกลัว เมื่อหวาดกลัวทุกคนก็จะหาทุกวิธีทางเพื่อป้องกัน เช่นสวมหน้ากาก ล้างมือด้วยเจลที่ทำลายผิวหนัง รวมทั้งยอมให้พวกเขาฉีด 💉เข้าไปตามคำแนะนำ
องค์การอนามัยโลก WHO ระบุไว้ว่าเมื่อปี 2020 ว่า ผู้ที่แข็งแรงไม่ควรสวมหน้ากากอนามัย และไม่มีหลักฐานว่า การใช้หน้ากากอนามัยในผู้สุขภาพดีจะช่วยในการป้องกันโรค ผู้ไม่ป่วยไม่ควรสวมใส่หน้ากาก
เพราะนอกจากจะไม่ได้รับออกซิเจนที่เต็มที่ ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสมองของเด็ก และการพักผ่อนของเรา ยังอาจทำให้ร่างกายได้รับเชื้อแบคทีเรียจากหน้ากากเข้าสู่ทางเดินหายใจ เกิดการระคายเคือง และก่อให้เกิดสิวเรื้อรังได้
สำหรับประเทศสวีเดนที่เราอาศัยอยู่นี้ ตั้งแต่เริ่มมีโควิดจนถึงตอนนี้เรายังไม่เคยได้สวมหน้ากากอนามัยเลยสักครั้ง ถ้าใครสวมนั่นคือคนป่วยและคุณดูแปลกประหลาดมาก ใครป่วยโควิดคือเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่นี่
เพราะตั้งแต่เริ่มมีโควิด รัฐบาลของสวีเดนก็จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อไวรัสอันดับ 1 ของโลกมาโดยเฉพาะในราคาที่สูงมาก
ผู้เชี่ยวชาญเขาได้ให้คำแนะนำดีมาก คือไม่ได้บอกให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย ไม่ได้บังคับให้ใครต้องฉีด💉 แต่ถ้าใครจะฉีดจองคิวมาฉีดได้
และแนะนำให้เดินในสวนสาธารณะที่มีอากาศบริสุทธิ์เพื่อสูดอากาศออกซิเจนเข้าไป และใช้ชีวิตแบบปกติเขาเรียกภูมิคุ้มกันหมู่
มีน้อยมากที่จะสวมใส่คือตอนไปโรงพยาบาลพบแพทย์หรือตอนไปฉีด💉เท่านั้นเอง แต่กลับโดนทั่วโลกโจมตีประเทศสวีเดนอย่างหนัก ณ ช่วงแรก ๆ นั้น เพราะคนทั่วโลกตื่นตระหนกและหวาดกลัวกันมาก
จากการที่ประโคมข่าวและข้อมูลที่ป้อนให้ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยทุกวันนั้น นอกจากส่งผลต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจด้วย
ทำให้เกิดความกลัวโรคมากเกินไป ทุกคนต่างหวาดกลัวกันและกัน ใครมาจากต่างเมืองหรือต่างประเทศห้ามเข้าในประเทศอื่นห้ามเข้าในหมู่บ้านนั้น ๆ บางคนต้องแยกจากลูกจากครอบครัวเมื่อป่วยโควิด
ทั้ง ๆ ที่อัตราการเสียชีวิตจากโรคนั้นน้อยกว่าการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเสียอีก
ที่ร้ายไปกว่านั้น ข่าวความน่ากลัวต่าง ๆ ของโรค ที่เผยแพร่ทุกวันนั้น ส่งผลกระทบต่อจิตใต้สำนึกเราอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทำให้เกิดความกลัวฝังลงในจิตใต้สำนึก ทำให้เราไม่กล้าก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิต และส่งผลให้เกิด ความกลัว ต่อการทำสิ่งหนึ่งใดให้สำเร็จ ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลต่อเยาวชนและการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งในประเทศที่ด้อยพัฒนายิ่งแย่ใหญ่ เกิดการล็อคดาวน์ ขังให้ทุกคนอยู่แต่ในที่บ้าน คนป่วยต้องอยู่ในห้องที่ออกซิเจนน้อยมาก แม้แต่โรงเรียนและสถานที่ต่าง ๆ ก็ปิดตัวลง จนเจ๊งระเนระนาด
คนที่ยากจนก็ลำบากมากพออยู่แล้วยิ่งขาดรายได้ไม่มีงานยิ่งแย่ไปใหญ่ คนที่เคยร่ำรวยต้องมาขายลูกชิ้น ขายของท้ายรถ เป็นหนี้เป็นสินกันมากมายก็มี อย่างที่ทุกคนทราบ
ในเรื่องระบบการทำงานของร่างกายของพวกเราทุกคน ร่างกายของมนุษย์ต้องการออกซิเจนในการหายใจเข้าไปให้ได้มากที่สุดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ถ้าขาดออกซิเจนคือเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้บนโลกใบนี้
เพื่ออนาคตของลูกหลานและของคนในประเทศ จงกล้าหาญในการเป็นแบบอย่างการถอดหน้ากาก และออกมาปกป้องลูกหลานเรา ให้หลุดพ้นจากความกลัวนี้
อย่าให้ใครมาขังความเป็นจิตวิญญาณของคุณ หยุดสวมหน้ากากอนามัยในผู้ที่ไม่ป่วย
คืนออกซิเจนให้กับร่างกาย
คืนรอยยิ้มสดใสให้กับคนรอบข้างและคนที่คุณรักกันเถอะ ❤️
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น