วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ยาวหน่อยแต่ถ้าอ่านจนจบถึงจะเข้าใจความจริงเรื่องศาสนา ❤

 See >>>

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0PUGwMRoymmyfh4F6V4gRXAV2W7caNyCWv82e7kXPKs2DFE3UUMfnhjoE9Qbvo8zXl&id=100075867212307



ยาวหน่อยแต่ถ้าอ่านจนจบถึงจะเข้าใจความจริงเรื่องศาสนา ❤


  ศาสดาหรือทุกคนทุกสรรพสิ่งต่างมีจุดแหล่งต้นกำเนิดมาจากพระผู้สร้าง มีหลายเหตุผลว่าทำไมคนที่มาทางสายจิตวิญญาณสายจักรวาลสากลถึงไม่ยืดติดศาสนาใด ๆ เลย รวมทั้งเหล่าบีอิ้งและเหล่าปรมาจารย์สวรรค์ก็ออกมาช่วยกันส่งสารแชนแนลบอกเสมอ ๆ เหตุมันมีอยู่ว่า...


  การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น จึงเกิดการประท้วง ต่อต้าน โกลาหลกันมากมายทั่วทุกมุมโลกในหลาย ๆ เรื่องในทุก ๆ วันขณะนี้ อาจดูว่ามันคือสิ่งที่รุนแรงหรือเลวร้ายแต่นั่นคือการปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต  


  ศาสนา คือมิติที่ 3 มีแต่ในมิติทางโลกมายาแห่งนี้เพียงเท่านั้น เราถูกขีดให้เดินตามศาสนาของทางโลกตั้งแต่เราเกิดมาบนโลกใบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราเกิดมาแล้วหล่ะ ในใบเกิดก็ยัดเยียดศาสนาให้เรียบร้อยแล้ว 


  ถ้าทุกอย่างในตำราหรือคัมภีร์เป็นความจริงหนึ่งเดียว ทำไมต้องแยกให้คนบนโลกมีหลายศาสนาด้วย ทั้งที่โลกอื่นดาวอื่นในจักรวาลเขาไม่เห็นมีศาสนาเลย แต่อาจมีกฎธรรมเนียมประเพณีบ้างเล็กน้อยเพียงเท่านั้น


  คนที่สร้างศาสนาหรือเขียนตำรา พระคัมภีร์ หรือพระไตรปิฎกไม่ใช่ศาสดาแต่ถูกเขียนขึ้นมาจากผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการเขียนนั้น ๆ ที่สำคัญคือศาสนาเป็นเครื่องมือของการเมืองและใช้ในการควบคุมมนุษย์โลกได้ดีที่สุด 


  สงครามและความแตกแยกเกิดขึ้นเพราะศาสนาก็มากมาย  ศาสดามีอยู่จริงไม่ว่าจะเยซูหรือพระพุทธเจ้า แต่พวกเขาคือปรมาจารย์สวรรค์ คือบีอิ้งและเป็นจิตวิญาณที่มีความเท่าเทียมกับพวกเราทุกคนและทุกสรรพสิ่ง  


  โลกมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว การเปิดเผยข้อมูลของจักรวาลที่เราทุกคนต้องรับรู้ความจริง ว่าพวกเราทุกคนหรือทุก บีอิ้งต่างแยกตัวมาจากพระผู้สร้าง ( Prime Creator ) หรือซอร์ส ( source ) พวกเรามาจากมิติที่สูง เป็นผู้ร่วมสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาทั้งจักรวาลเพื่อเรียนรู้และเพื่อหาประสบการณ์ และช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้แก่โลกและจักรวาล


  ทั้งร่วมกันสร้างดาวเคราะห์และสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา รวมทั้งไทแร้นท์ที่ว่าเลวร้ายก็ด้วย และจิตวิญญาณของเราก็แยกตัวไปหาประสบการณ์ตาม เพลน ต่าง ๆ อีก 5 ตัวตน แค่พวกเราต่างจำกันไม่ได้ 


  เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไม่ได้มาจากลิง แต่มาจากเซเรย์สนักวิทยาศาสตร์ของจักรวาลสร้างมนุษย์เราขึ้นมา มนุษย์อยู่บนโลกนี้มานานกว่า 65 ล้านปีมาแล้วหลังยุคไดโดเสาร์ ส่วนศาสนาต่าง ๆ พึ่งมีมาแค่สองพันกว่าปีนี้เอง 


  ศาสดามีอยู่จริงแต่พวกเขาเป็นบีอิ้งต่างดาวแบบมนุษยโลกทั่วไป มนุษย์โลกก็มาจากดวงดาวต่าง ๆ  เคยเป็นมนุษย์ต่างดาวหลายเผ่าพันธุ์มาจากต่างดาวทั้งหมดทั้งสิ้น 


  ร่างกายทางกายภาพของเราเป็นแค่หุ่นเชิด แต่ตัวตนของเราที่แท้จริงนั้นเป็นจิตวิญญาณเป็นพลังงานวิ่งรันอาศัยอยู่ในกายเนื้อนี้อีกทีหนึ่ง โลกนี้เปรียบเสมือนห้องทดลอง สารพัดมากมายหลายเผ่าพันธุ์ที่รวมอยู่ด้วยกัน 


  ซึ่งอาจแตกต่างจากดาวดวงอื่น ๆ โลกของเราเป็นศูนย์รวมทุกอย่าง ทั้งวิทยาศาตร์ ดาราศาตร์ต่าง ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายของดาวดวงอื่นที่จะเข้ามาทดลองศึกษาเลยก็ว่าได้


   พระผู้สร้างเฝ้าดูผลงานการสร้างสรรค์ของโลกมนุษย์และจักรวาล เห็นแล้วว่าผู้คนบนโลกมนุษย์อยู่ในความลำบากมาก คนจนก็จนแทบไม่มีจะกิน คนรวยก็รวยไม่เผื่อแผ่แบ่งปันให้คนลำบากยากจนเลย 


  ที่ดินและทรัพยากรณ์ธรรมชาติที่มีมากมายทั่วทั้งโลกก็ตกเป็นของผู้ปกครองผู้มีอำนาจเพราะเขาต้องการครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว คนจนไร้ที่อยู่อาศัย ทำงานเสียภาษีให้ผู้มีอำนาจเยี่ยงทาส 


  ให้ทำสงครามแย่งอำนาจกันเพื่อให้คนบนโลกนี้มีแต่ความหวาดกลัว ความเครียด กดดัน แย่งชิงทำร้ายสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง  เอาชนะกัน จะได้มีพลังงานลบมาก ๆ เพราะจะได้ไม่ตื่นรู้ ฝ่ายมืดครอบครองโลกเรามากว่า 5 แสนปีมาแล้ว


  โดยสร้างความเชื่อต่าง ๆ ตามบรรพบุรุษขึ้นมาเพื่อสร้างความเป็นเทพให้คนกราบไหว้บูชา ไม่ว่าจะศาสนา ศักดินา หรือเทพผู้ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ที่เราเคารพ เพื่อให้เห็นค่าของคนไม่เท่ากัน 


  แม้แต่คนกับสัตว์ก็ยังมีกฏให้เราเห็นความไม่เท่าเทียมกัน ทั้งที่คนและสัตว์ต่างเท่าเทียมกันแค่เขาพูดภาษาเราไม่ได้ ความเจริญรุ่งเรืองมักไปอยู่กับประเทศที่ไม่มีศาสนาเพราะเขาเห็นคุณค่าของคนเท่าเทียมกันและเคารพในจิตวิญญาณของตนเองเพียงเท่านั้น


  ศาสนาก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมต่างคิดว่าความเชื่อของตนดีที่สุด ถือทิฐิ ยืดอัตตา มีอีโก้สูง เหยียดคนไม่มีศาสนาหรือต่างศาสนาว่าต่ำกว่าตนและต้องอยู่ในกรอบของความเชื่อนั้น ๆ เพียงเท่านั้น 


  เช่น ห้ามแต่งกายแบบนี้ ห้ามลุกขึ้นต่อสู้ สงบจิตอย่างเดียวห้ามสร้างสรรค์ หลายศาสนามักเหยียดสตรีและเพศตรงข้าม ถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมือง ไร้อิสระเสรีภาพทางความคิดและการกระทำ ทั้งที่เราทั้งจักรวาลมีความเท่าเทียมกัน 


  เราลงมาเกิดกันด้วยหลากหลายสาเหตุ แต่ด้วยกฎของโลกคนที่มาเกิดมักจำเรื่องราวต่าง ๆ กันไม่ได้  และบ้างก็โดนฝ่ายมืดจับมาลบความทรงจำด้วยเทคโนโลยี และดึง DNA จีโนมของเราออกไป 


  เราจะต้องรื้อความทรงจำในอดีตให้ได้ก่อน ว่าเราเก่งฉลาดรอบรู้และมีความสามารถมากขนาดไหน เราเก่งได้เทียบเท่าแบบศาสดาของเรา ด้วยการฝึกจิต ทำสมาธิและส่งฮิว ( HU ) เพื่อเชื่อมต่อกับมิติต่าง ๆ ของจักรวาลและพระผู้สร้าง


  พวกเรากำลังถูกปลูกให้ตื่นขึ้นเแล้วฝึกจิตเพื่อค้นหาตนเองให้เจอ จะได้ประสานกับจิตที่ศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณที่สูงขึ้นที่มีความสามารถสูงมาก ได้มาช่วยเราในการทำหน้าที่นี้ให้ผ่านพ้นวิกฤษอันเลวร้ายนี้ไปได้


  เมื่อเราตื่นรู้ เราก็ช่วยกันเผยแผ่ช่วยให้ผู้คนทั้งโลกได้ตื่นรู้ตามเราไปด้วย เมื่อเราเห็นโพสต์ขึ้นแสดงว่าเราโดนปลูกให้ตื่น 


  โลกกำลังเปลี่ยนแปลงแล้ว เราต้องเปลี่ยนตาม ใครไม่เปลี่ยนหรือเหยียบเรือสองแคมอยู่ ก็ต้องวนเวียนอยู่ในโลกมายามิติ 3 - 4 โรงละครนั้นต่อไป และไปต่อคิวตื่นรู้ทีหลัง ในแต่ละภพชาติไป ไม่ไปต่อในมิติที่ 5 หรือสูงขึ้นไปก็แล้วแต่ฟีวิวและจริตของแต่ละคน ไม่มีใครไปบังคับ


  เมื่อเราต้องการตื่นรู้จริง ๆ ให้เราออกจากความเชื่อต่าง ๆ ของบรรพบุรุษให้ได้ก่อน ปลดปล่อยจิตวิญญาณของตนเองให้เป็นอิสระ เพิ่มความถี่พลังงานบวกด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข 


  หันมาศึกษาเรียนรู้ข้อมูลของจักรวาลที่นอกเหนือจากความรู้ทางโลก ที่ผู้นำของโลกช่วยกันขีดเขียนให้เราต้องเดินตาม 


  การภาวนาขอสิ่งต่าง ๆ นั้น ไม่ได้สำเร็จเพราะการขอจากรูปปั้นที่ไร้ชีวิต ปลัดขิก จอมปลวก ต้นไม้หรือเทพองค์ใด ๆ เลย แต่เราสำเร็จได้จากการขอด้วยตัวของเราเอง เพราะพวกเรามีพลังงาน 


  การขอด้วยจิตที่จดจ่อจึงได้ตามนั้นจริง ซึ่งเป็นกฏแรงดึงดูด เหล่าบีอิ้งทั่วทั้งจักรวาลเขารับทราบกันดีและพวกเขาก็ใช้กันทั้งจักรวาล ไม่ใช่จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเลย


  ฝ่ายมืดรู้ข้อนี้ดีแล้วเอามาหลอกให้เราคิดว่าได้จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราไปขอ ด้วยความที่เราจดจำเรื่องราวกันไม่ได้ ด้วยอิมแพล้นที่โดนปิดกั้นเอาไว้


  อย่างเช่น เมื่อมีคนซื้อหวยก็ย่อมมีคนที่ถูกหวยเป็นธรรมดา คนไปขอให้ถูกหวยมีเป็นล้าน ๆ แต่ที่ถูกหวยจริง ๆ เพียงแค่ไม่กี่คนเอง แต่พอถูกหวยมักคิดว่ามาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปขอ แต่ที่ได้คือได้จากการขอจากตัวเราเองด้วยจิตจดจ่อและพลังงานความถี่ที่ดีและเป็นบวก โดยไม่เอาพลังงานลบไปบล็อกไว้ เพราะเราคือพระผู้สร้าง 


  ศาสนาทุกศาสนา แม้จะสอนมีข้อดียังไงก็คือเครื่องมือของฝ่ายมืดอยู่ดี ทำให้คนเราแบ่งแยกศาสนาและเหยียดศาสนาอื่น  ทำให้คนมีอีโก้สูง ต้องเคารพกราบไว้บูชาเหยียดสตรีเพศ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม 


  สมัยศาสดา หญิงบวชได้สมัยนี้เป็นได้แค่ชี ห้ามนั่งหน้าเหนือผู้ชาย ห้ามแตะต้องพระ แต่สมัยศาสดาไม่มีการเรียนภาษาสันสกฤต บาลีแข่งชั้นตรี โท เอก ไม่มีการสวดมนต์ จุดธูปเทียน กรวดน้ำหรือทำพิธีต่าง ๆ ไม่มีกระถิน ผ้าป่า อะไรให้ยุ่งยากทั้งนั้น 


  ศาสดามีแต่สอนให้ทำความดี เอาใจมาใส่ใจเรา อย่าเห็นแก่ตัว ทำสมาธิดูลมหายใจเข้าออกง่าย ๆ สบาย ๆ เพียงเท่านั้น อย่างเยซูก็ให้ทุกคนรักและช่วยเหลือให้อภัยกัน มอบรักที่ไม่มีเงื่อนไข


  การปฏิโมกข์มาทีหลังยุคศาสดา และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนปฏิโมกข์ ก็เปลี่ยนคำสอนเปลี่ยนนิกายที แตกแยกเป็นหลายนิกาย หลายการปฏิบัติต่างก็คิดว่านิกายและการปฏิบัติแบบของตนนั้นดีกว่า 


  มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง พระมีเงินเดือนมียศมีศักดิ์ ทำให้ผู้บวชเกิดกิเลส สมัยก่อนพระไม่มียศ และเท่าเทียมกัน เดินไปบิณฑบาตแค่พออิ่ม 


  การบวชก็ไม่จัดงานเลี้ยงฆ่าหมู ไก่ เหล้าเพื่อแข่งรวยใส่ทองให้นาคแบบยุคนี้ คัมภีร์ของแต่ละศาสนาเปลี่ยนตลอดและต่างกัน ไม่รู้ใครเขียนจริงไม่จริงก็มั่วกันไปหมดหลายเล่ม แต่ผู้คนก็เชื่อจนสุดใจแม้ไม่ได้พิสุจน์ด้วยตนเองก็ตาม


  ศาสดาก็คือคนธรรมดามีลูกมีภรรยามีครอบครัวแบบพวกเรา แค่ในทางสังคมของโลกเขาถูกยกให้เป็นชนชั้นลูกกษัตริย์ 


  พอออกนอกวังไปเห็นคนจน คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ทำไมไม่สุขสบายเหมือนตนเอง เลยเข้าป่าเพื่อต้องการค้นหาความจริงแบบพวกเราทุกคนนั่นแหละ ทดสอบทุกอย่างแต่ก็ไม่สำเร็จ อดข้าวก็แล้ว ทรมานตนเองก็แล้ว 


  เลยหาวิธีใหม่ อาบน้ำทานข้าว ทำจิตให้สดชื่น นั่งทำสมาธิใต้ต้นไม้สบาย ๆ สังเกตุลมหายใจเข้าออกแค่นั้น ไม่มีพิธีการใด ๆ ไม่โกนหัวหรือกันคิ้ว ( สังเกตุพระพุทธรูปมีแต่ผมดำยาวและคิ้วดกดำ ไม่มีหรอกที่โกนหัว ) 


  และศาสดาไม่ได้สวดมนต์ แค่นั่งนอนดูลมเข้าออกสบาย ๆ ทำไปหลายวัน ก็เกิดประสบการณ์การตื่นรู้ หรือเขาเรียกการตรัสรู้ เห็นอดีตชาติของตนเองถึง 10 ชาติ แต่ก็เห็นแค่ในภพภูมิมิติที่ 3 - 4 เลยไปบอกวิธีการปฎิบัติต่อผู้อื่นไปทั่วโลกก็เท่านั้น     


  ศาสดาเขาไม่ได้บอกให้ใครต้องเคารพเทวรูปเคารพของเขา ไม่ได้ให้ต้องเชื่อคำพูดเขาทุกอย่างแต่ให้เชื่อในความเป็นจริง เพราะเขาคงรู้ว่าต่อไปข้างหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสอน แยกนิกายและคนจะคลั่งแต่เคารพบูชาเทวรูปเคารพแทน 


  แต่ยุคนั้นมีชนชั้นจัญธานกับชนชั้นกษัตริย์แยกกัน ศาสดาเขาคือลูกกษัตริย์ คนย่อมกราบไหว้เป็นธรรมดาตามกฎของทางโลก 


  ในความเป็นจริงศาสดาเขาก็คือคนธรรมดาเป็นบีอิ้งมีจิตวิญญาณเหมือนพวกเราทุกคนและมีความเท่าเทียมกับเรา เราก็เป็นพระเจ้าแบบศาสดาของเราได้ 


  วัดสมัยนี้มีแต่พุทธพาณิชย์เป็นส่วนมาก แต่ไม่ได้เหมารวม พระดีก็มี แต่บางรูปตื่นรู้ก็เข้าป่าหมดก็มี บางศาสนามีเมียได้หลายคน บางศาสนามีเมียได้ บางศาสนาห้ามแตะต้องผู้หญิง แค่นี้ก็แตกต่าง แตกแยก พาตีกันแล้ว 


  สังเกตุได้ว่าแต่ละศาสนามักตำหนิศาสนาอื่น ขนาดทุกวันนี้ยังแย่งกันเป็นศาสนาประจำชาติเลย เจ้าอาวาสก็แย่งซื้อตำแหน่งกันให้วุ่น กิเลสล้วน ๆ 


   นิพพานคือวอยส์ อยู่ตรงกลางระว่างมิติที่ 4 และมิติที่ 5 คือคั่นมิติที่ต่ำกว่าและมิติที่สูงขึ้นไป ตอนนี้ศาสดารู้แล้วว่าเหนือนิพพานยังมีอีกหลายมิติ โลกทุกโลกทุกดาวเคราห์ยังมีอีก 144 โลกคู่ขนาน และตอนนี้เหล่าศาสดาเขาก็เลื่อนระดับตนเองอยู่ในมิติที่สูงขึ้นไปแล้วและมาช่วยสภากาแลคซี่ในการแชลแนลกระตุ้นจิตสำนึกช่วยคนให้ตื่นรู้และขึ้นไป


  ไม่ว่าพระอรหันต์หรือคนปฏิบัติทำสมาธิที่มีความเชื่อทางศาสนาอยู่ แม้จะมีชาญเก่งกล้าขั้นเทพขนาดไหนก็โดนอิมแพล้นซึ่งเป็นโปรแกรมของฝ่ายมืดครอบงำเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น เพราะสมัยนั้นมืดครองโลกอยู่


  ภาพที่เห็นก็ให้เห็นภาพแค่โฮโลแกรมที่มีแค่นรก สวรรค์ และนิพพาน ภูติ ผีหรือเทพต่าง ๆ วนเวียนอยู่แบบนั้นเพียงเท่านั้น ไม่ได้ให้เห็นภาพมิติที่ 5 หรือมิติที่สูงขึ้นมากไปกว่านั้นหรือจนถึงต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่งคือพระผู้สร้าง 


  จะเห็นแค่อดีตชาติของตนเองในมิติที่ต่ำกว่ามิติที่ 5 นอกเสียจากว่าจะปลดปล่อยจิตวิญญาณของตนเองให้เป็นอิสระ เคารพจิตวิญญาณของตนเอง โดยออกจากกรอบความเชื่อและเห็นทุกคนและทุกสรรพสิ่งมีความเท่าเทียมกันให้ได้ก่อน 


  ไม่มีใครทำให้ความเชื่อทั้งเรื่องชาติ ศาสนาหรือศักดินาเสื่อม แต่ศาสนาและความเชื่อต่าง ๆ ตามบรรพบุรุษจะเสื่อมด้วยตัวของมันเอง เพราะคนยุคใหม่จะตื่นรู้ด้วยตัวของตัวเองจากจิตวิญญาณและสัญชาตญาณ 


  ส่วนในมิติที่ต่ำจะมีทั้งชั่ว - ดี ดำ - ขาว หยิน - หยาง รวมปะปนกันอยู่ในนั้น แต่มิติที่ 5 หรือสูงขึ้นไปจะไม่มี และจะไม่มีพลังลบเหลืออยู่เลย มีแต่พลังบวกและพลังงานความถี่ที่ดี มีความเป็นกลาง


  แมทริกซ์โฮโลแกรมที่กักขังวิญญาณคือ นรก - สวรรค์เป็นโฮโลแกรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยมืด พวกยมฑูตก็เป็นมนุษย์ต่างดาวฝ่ายมืด อนูนากิ เรปทีเลี่ยน แปลงกายมาตัดสินมนุษย์ว่าใครจะไปนรก สวรรค์แล้วบูชาซาตาน ซาตานก็ดูดเอาพลังความถี่ต่ำจากพวกที่ไปนรก ดูดความถี่สูงของคนที่ไปสวรรค์ ส่วนนิพพานก็จะนิ่งสงบอย่างเดียวไม่สร้างสรรค์ มีแต่ความว่างเปล่า


  ในความเป็นจริงเราจะนิ่งสงบอย่างเดียวไม่ได้ เพราะจะไม่เกิดการสร้างสรรค์พัฒนา หรือการแก้ปัญหาทั้งในจักรวาลและดาวเคราะห์โลกที่ต้องการความช่วยเหลือและแก้ไข 


  ในจักรวาลไม่มีศาสนา ศักดินา หรือการแบ่งแยก มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียว มีแต่ความเท่าเทียมกันในทุกสรรพสิ่ง เชื่อและศัทราในตนเอง เพราะทุกคนคือพระเจ้าเช่นเดียวกัน และทุกคนคือพระผู้สร้าง


  ให้เราได้ฝึกจิตสำนึกให้ดีทำในสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คิดบวก ไม่แข่งขันต่อสู้ทำสงครามกันอีกต่อไป มีอะไรก็แบ่งปันช่วยเหลือกัน หาจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงของตนเองให้เจอ


  ด้วยการทำสมาธิหรือส่งฮิว ( HU ) เพื่อเชื่อมต่อมิติต่าง ๆ ของจักรวาลและพระผู้สร้างโดยตรง เพื่อให้มีประสบการณ์การตื่นรู้ ให้เราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราและรู้ต้นกำเนิดที่มาของตนเองก่อนที่จะมาเกิดบนโลกใบนี้นั่นเอง 


  โดย Boos Day ❤

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น